เรื่องเล็กๆที่เราจะมองข้ามไม่ได้สำหรับผู้ใช้รถยนต์บ้านเราคือ “ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์” เเน่นอนว่าสิ่งสำคัญสำหรับการใช้งาน คือการป้องป้องแสงแดดและช่วยกรองความร้อน จากแสงแดดรวมไปถึงรังสียูวี ที่ส่งแรงสะท้อน “ความร้อน” เข้ามาภายในตัวรถยนต์และส่งรังสีความร้อนเข้ามาปะทะตัวเราแล้ว บ้านเรา ถือ สภาพภูมิประเทศนั้นต้องอยู่ในแถบเมืองร้อน บางวันเรียกว่า “ร้อนระอุ”ยิ่งหากต้องจอดรถทิ้งในเวลากลางวัน ไว้กลางแดดเปรี้ยงหรือต้องขับรถในช่วงความร้อนพีคๆช่วงบ่ายๆ ที่หลายคนบอกว่า ต้องใช้ตัวช่วย!!!
ไม่ใช่เเค่การช่วยปกป้องความร้อนแล้ว หลายๆคนให้ความสำคัญไปถึงการปกป้องความเป็น “ส่วนตัว” และฟิล์มกรองแสงถือเป็นตัวช่วยชั้นดีต่อผู้ที่ต้องการกรองความเป็นส่วนตัว ให้กับผู้ที่อยู่ภายในห้องโดยสารและสิ่งสำคัญอีกประการที่จะไม่สามารถละเลยไม่ได้ คือ เรื่องของ “ความปลอดภัย” ต่อการขับขี่ ทัศนะวิสัย ของผู้ใช้รถ
วันนี้เรามีเคล็ดไม่ลับสำหรับการเลือกใช้ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ มาแนะนำเพื่อเป็นตัวช่วยในการพิจารณาและตัวสินใจติดฟิล์มกรองแสงให้กับรถยนต์คนโปรดของคุณ เราต้องรู้ก่อนว่า ฟิล์มกรองแสงมีกี่ประเภท แต่ละประเภทมีคุณสมบัติอย่างไร
1.ฟิล์มกรองแสงรถยนต์แบบย้อมสี ซึ่งถือเป็นฟิล์มชนิดที่มีราคาและคุณภาพถูกที่สุดในตลาดขณะที่ความสามารถในการกรองแสงและการปกป้องรังสียูวีก็จะเป็นไปตามคุณภาพและราคาส่วนอายุเฉลี่ยของการใช้งานก็สั้นเพียง 1-2 ปี ไม่เกิน 3 ปี ฟิล์มจะเปลี่ยนสภาพจางเป็น สีม่วง ที่สำคัญ ก็ยังไม่สามารถช่วยลดความร้อนและกรองแสงได้
2.ฟิล์มรถยนต์แบบฉาบ/อาบโลหะ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่าฟิล์มปรอทฟิล์มติดรถยนต์ประเภทนี้ได้รับความนิยมในตลาด เนื่องจากราคาขยับขึ้นมาอีกนิด แต่ไม่แพงมากและคุณภาพที่ดี มีคุณสมบัติการสะท้อนรังสีความร้อนและประสิทธิภาพในการลดอุณหภูมิได้ดีระดับหนึ่ง แต่เนื่องจากมีการอาบ/ฉาบโลหะ ก็ทำให้มีการรบกวนสัญญาณดิจิตอลต่างๆที่ใช้ภายในรถยนต์รวมทั้งสัญญาณโทรศัพท์มือถือ เมื่อผ่านการใช้งานไปเป็นระยะเวลาอาจจะเพิ่มเป็น 3-7 ปี เรียกว่าพอประมาณสีครีมก็จะเปลี่ยนกลายเป็นสีม่วงหรือน้ำตาล เช่นเดียวกัน
3.ฟิล์มกรองแสงรถยนต์แบบนาโน หรือ ฟิล์มระดับพรีเมี่ยม ถือเป็นฟิล์มกรองแสงที่ใช้จุดเด่นของอนุภาคนาโนมาอยู่ในเนื้อฟิล์มแทนที่การฉาบด้วยโลหะเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนามาอีกท่านช่วยป้องกันรังสีและลดความร้อนได้มากที่สุดอีกทั้งยังมีความทนทานกว่าฟิล์มรถยนต์ทั่วไป มีอายุการใช้งาน 7-10 ปี หรือมากกว่าแถมยังให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ทั้งกลางวันและเวลากลางคืน ได้ดีเนื่องจากเนื้อฟิล์มมีความเข้ม เมื่อมองจากภายนอกเข้ามาแต่หากมองจากภายในรถออกไปเนื้อฟิล์มจะค่อนข้างใสช่วยในเรื่องทัศนวิสัยของการขับขี่เป็นอย่างดี
ฟิล์มกรองแสงรถยนต์นาโนมี 2 ชนิดที่ได้รับความสนใจคือ “ฟิล์มนาโนคาร์บอน” เนื้อฟิล์มจะเป็นสีทึบดำเมื่อมองจากด้านนอกตัวรถเข้ามาช่วยในเรื่องของความ Exclusive ความเป็น ส่วนตัวให้กับผู้ใช้รถทั้งอย่างไม่รบกวนสัญญาณดิจิตอลต่างๆ แต่ราคาจำหน่ายค่อนข้างสูง เช่นเดียวกับ “ฟิล์มนาโนแบบเซรามิก” ที่มีจุดเด่นแตกต่างกันกับฟิล์มนาโนคาร์บอนคือเรื่องของความใส แต่ยังคงความสามารถในการกรองความร้อนและรังสียูวีได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง ต้องไม่ลืมว่าความทึบความดำ ไม่ได้มีผลกับการช่วยกรองแสงและความร้อน เสมอไป
เรายังมีเทคนิคในการเลือกอย่างไรนั้น เวลา ไปติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์ช่างหรือผู้ติดตั้งมักจะถามว่าเราต้องการความทึบที่ระดับกี่% โดยหลักๆจะมีอยู่ที่ 40% 60% 80% ก็ให้พึงระลึกว่าจำนวนเปอร์เซ็นต์ที่กล่าวมานี้คือระดับความทึบของฟิล์ม ยิ่งมีความเข้มมากก็จะทำให้แสงส่องเข้าไปภายในตัวรถน้อยเช่นฟิล์มระดับ 40% หรือฟิล์มใสจะมีความสามารถให้แสงและความร้อนเข้าไปภายในรถยนต์แค่ 35%
ส่วนฟิล์ม 60% ก็จะปล่อยแสงให้เข้าไปได้แค่ 20% ขณะที่ฟิล์ม 80% จะกรองแสงให้เข้าไปได้เพียง 5% เท่านั้น ดังนั้นยิ่งจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงย่อมเท่ากับระดับความสามารถในการกรองแสงให้เข้าไปในรถยนต์ได้มากเท่านั้น รวมทั้งยังเป็นระดับความเข้มของเนื้อฟิล์มนั่นเอง เชื่อว่าข้อมูลข้างต้นจะช่วยประกอบการตัดสินใจในการเลือกติดตั้งฟิล์มกรองแสงรถยนต์ให้คุณได้ไม่มากก็น้อยสิ่งสำคัญวันนี้ในตลาดมีฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์หลากหลายยี่ห้อ
ดังนั้นเราต้องเลือกยี่ห้อที่มีความน่าเชื่อถือ รวมทั้งการให้การรับประกันหลังติดตั้งรวมทั้งดูแลและให้บริการหลังติดตั้งเช่นเดียวกัน เมื่อรู้อย่างนี้แล้วไม่ว่าคุณจะใล้รถใหม่ป้ายแดง หรือรถยนต์ใช้แล้ว รถมือสอง การให้ความสำคัญกับฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ จึงถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย