Mercedes-Benz เป็นอีกหนึ่งค่ายที่เปิดตัวรถในไทยอย่างต่อเนื่องในทุกเซ็กเมนต์ นับว่าเป็นแบรนด์รถยนต์พรีเมี่ยมที่มีรถให้ลูกค้าได้เลือกครบทุกความต้องการ รวมถึงรถสมรรถนะสูงอย่าง Mercedes-AMG ที่คนชื่นชอบความเร็วแรงต้องมีไว้ในครอบครอง มีรถยนต์อีกหลายรุ่นน่าสนใจและเป็นรถยนต์ที่มีอนาคตไกล
Mercedes-AMG GLA 35 4MATIC
รถยนต์คอมแพ็คเอสยูวีสมรรถนะสูงเจเนอเรชั่นที่ 2 จาก Mercedes-AMGโดดเด่นด้วยความกระทัดรัดคล่องตัวสมกับความเป็นเล็กพริกขี้หนู ให้พละกำลังสูงสุดถึง 306 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 3,000-4,000 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0-100 กม. / ชม. ในเวลา 5.1 วินาที
จากขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1,991 ซีซี. พร้อมเทอร์โบและอินเตอร์คูลเลอร์ ภายในห้องโดยสารมีความเป็นสปอร์ตตามแบบฉบับของ AMG พร้อมพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางขึ้น พร้อมระบบความปลอดภัยครบครัน คอมแพ็คเอสยูวีสมรรถนะสูงให้การขับขี่ที่โดดเด่นด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ 4MATIC ที่ทำให้ความแรงควบคุมได้อย่างเชื่องมือ
Mercedes-Benz Vito 119 CDI Tourer Select
มาพร้อมกับความหรูหราและอรรถประโยชน์ในการใช้งาน รองรับการเดินทางสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารถึง 11 ที่นั่ง ให้ความกว้างขวางสะดวกสบายในการเดินทางทั้งวันพักผ่อนและวันทำงาน หรูหราสง่างามด้วยกระจังหน้าโครเมียมพร้อมไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light เสริมความสปอร์ตด้วยล้ออัลลอย Multispoke ขนาด 17 นิ้ว เหมาะสำหรับทุกรูปแบบการใช้งานด้วยประตูบานเลื่อนไฟฟ้าทั้งซ้าย-ขวา ควบคุมการเปิด-ปิดด้วยรีโมทคอนโทรล
ดีไซน์ภายในห้องโดยสารเน้นความหรูหราอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติภายในห้องโดยสาร (Thermotronic) ให้ความเย็นสบายในทุกตำแหน่งที่นั่งตลอดการเดินทาง ขุมพลังในการขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียง 4 สูบ ขนาด 1,950 ซีซี. เจเนอเรชั่นล่าสุด ให้กำลัง 190 แรงม้า พร้อมแรงบิด 440 นิวตัน-เมตร โดดเด่นในเรื่องความประหยัดระดับ 16 กม./ลิตร ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ 9G-Tronic อันเลื่องชื่อ ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 9.6 วินาที ทำความเร็วเดินทางสูงสุดที่ 205 กิโลเมตร/ชั่วโมง
Mercedes-AMG SL43
ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเจนเนอเรชั่นล่าสุด จากที่เคยใช้เครื่องยนต์แบบ V6 Bi-Turbo พิกัด 3.0 ลิตร ครั้งนี้มากับเครื่องยนต์ที่เล็กลงแต่ทว่าไม่ธรรมดา เป็นเครื่องยนต์แบบ 4 สูบ รหัส M139 พิกัด 2.0 ลิตร กับเทอร์โบชาร์จแบบไฟฟ้า ( E-Turbo ) นับเป็นครั้งแรกของค่ายที่มีการนำเทคโนโลยีจากการแข่งขัน Formula 1 มาใช้กับบนโชว์รูม นอกจากนี้ได้นำเทคโนโลยี Mild Hybrid ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ขนาด 48 โวลต์ นับว่าเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 ของเทคโนโลยีนี้ เพื่อช่วยเพิ่มอัตราเร่งในช่วงสั้นๆ
เครื่องยนต์มีกำลังสูงสุดอยู่ที่ 375 แรงม้า ที่ 6,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 480 นิวตัน-เมตร ตั้งแต่ 3,250 – 5,000 รอบ/นาที แรงม้ารวมอยู่ที่ 388 แรงม้า แต่มาในช่วงสั้นๆ ที่มอเตอร์ช่วยทำงานเท่านั้น ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติแบบ MCT 9 สปีด ปรับแต่งโดย AMG ขับเคลื่อนล้อหลัง ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 4.9 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 275 กม./ชม. ระบบช่วงล่าง AMG Ride Control พร้อมฟังค์ชั่น AMG Dynamic Select สามารถเลือกโหมดได้ 5 โหมด และถ้าแค่นั้นยังไม่พอ สามารถเพิ่มโหมดที่ 6 ได้ด้วย AMG Dynamic Plus Package นอกจากโหมดการขับขี่ที่เพิ่มขึ้นแล้วก็คือ สามารถปรับลดความสูงของตัวรถลงอีก 10 มม. พร้อมเฟืองท้าย Limited Slip ที่ควบคุมการทำงานด้วยไฟฟ้า และคาลิเปอร์เบรกสีเหลืองอันโดดเด่น
Mercedes-AMG C43 4MATIC Coupe Special Edition
เวอร์ชั่นส่งท้ายมีจำนวนจำกัดเพียง 120 คันเท่านั้น นับว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่น่าจับจองเป็นเจ้าของ เครื่องยนต์มีกำลังสูงสุด 390 แรงม้า ที่ 5,500 – 6,000 รอบ / นาที แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร ที่ 2,500 – 5,000 รอบ / นาที เป็นเครื่องยนต์เบนซินแบบ V6 2,996 cc. มาพร้อมกับระบบอัดอากาศแบบ Bi-Turbocharged ส่งกำลังด้วยอัตโนมัติ 9 จังหวะ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G พร้อม Paddle shift มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ 4MATIC
ระบบกันสะเทือนเป็นแบบ AMG RIDE Control ปรับด้วยไฟฟ้า 3 ระดับ Comfort, Sport และ Sport+ ดิสก์เบรกหน้า ขนาด 360 มม. พร้อมครีบระบายความร้อน คาลิเปอร์แบบ 4 Pot ความพิเศษคือป้าย AMG Special Edition รันหมายเลขตั้งแต่ 00 – 120 ตามลำดับ มาพร้อมกับล้อขอบ 19 นิ้ว AMG Multi-Spoke สีดำด้าน และระบบท่อไอเสีย AMG Performance Exhaust System รวมถึงความดุดันเมื่อมองจากมุมมองด้านหลังด้วยดิฟฟิวเซอร์สีดำ AMG Night package two round twin tailpipe look
Mercedes-Benz S 580 e AMG Premium
รถ PHEV ที่ใช้งานได้ครบทุกความต้องการ ด้วยขนาดแบตเตอรี่ขนาด ขนาด 28.6 kWh เป็นรถปลั๊กอินไฮบริดเจเนอเรชั่นที่ 4 ของค่ายมีการพัฒนาล้ำหน้าไปมาก สามารถวิ่งในโหมด EV ได้ราว 94-113 กม.โดยประมาณตามมาตรฐาน WLTP เมื่อชาร์จด้วย DC Charger จาก 10-80 % ใช้เวลา 20 นาที