รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ Battery Electric Vehicle (BEV) เป็นตัวแทนแห่งอนาคตของยานยนต์ แต่ประโยชน์ของรถประเภทนี้คืออะไร? วันนี้เราจะพาไปสำรวจข้อมูลเบื้องต้นและวิธีเลือกที่จะตอบโจทย์ความต้องการของคุณ
ทำไมเราควรให้ความสนใจรถไฟฟ้าแบตเตอรี่?
ในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนไปสู่อนาคตที่สะอาดขึ้น รถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) จึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในหมู่ผู้ที่มีแผนซื้อรถยนต์ที่ต้องการให้รถยนต์ของพวกเขาทำงานโดยใช้แหล่งพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น รถ BEV ขับเคลื่อนด้วยพลังงานที่ได้จากกริดไฟฟ้า ดังนั้นจึงมีประสิทธิภาพมากกว่ารถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
นอกจากนี้ BEV ยังคุ้มค่าและประหยัดกว่า เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าโดยทั่วไปจะต่ำกว่าการเติมน้ำมันหรือรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินหรือดีเซล
ในแง่ของการบำรุงรักษา BEV นั้น มีชิ้นส่วนกลไกที่ไม่ซับซ้อนมาก เช่น เครื่องยนต์ กระปุกเกียร์ ระบบไอเสีย ท่อน้ำมันเชื้อเพลิง และไม่ต้องการการหล่อลื่นมากเกินไป ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้ามอเตอร์และแบตเตอรี่ โดยทั่วไปได้รับการออกแบบมาให้มีอายุการใช้งานยาวนานและบำรุงรักษาน้อยที่สุด
BEV ทำงานอย่างไร?
รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ต่างจากรถยนต์ทั่วไปที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ระบบส่งกำลังของ EV ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าตัวเดียวหรือหลายตัว ซึ่งขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ที่ติดตั้งอยู่ในรถ
รถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่นได้รับการออกแบบให้เดินทางได้ไกลสูงสุด 300 ถึง 400 กิโลเมตร เมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็ม ซึ่งเพียงพอสำหรับการขับขี่ต่อเนื่องเป็นเวลา 4-5 ชั่วโมงที่ความเร็ว 80 กม./ชม. ระหว่างเดินทาง รถยนต์ไฟฟ้ามักจะให้อัตราเร่งที่ฉับไว เนื่องจากแรงบิดจากมอเตอร์ไฟฟ้าสามารถทำงานได้ทันที ซึ่งแตกต่างจากเครื่องยนต์ทั่วไปที่ต้องรักษาให้อยู่ในวงกำลังที่กำหนดไว้เพื่อให้แรงบิดทำงาน
ความแตกต่างที่โดดเด่นที่สุดที่คุณอาจสังเกตเห็นคือการที่รถยนต์ไฟฟ้าไม่มีเสียงรบกวน เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าไม่มีเครื่องยนต์ ด้วยระยะฐานล้อที่ยาวและชิ้นส่วนกลไกที่น้อยลง รถ EV จึงมีพื้นที่ในห้องโดยสารมากขึ้นเพื่อให้ผู้โดยสารได้พักผ่อนอย่างสะดวกสบาย
ซึ่งหมายความว่าคุณจะได้รับประสบการณ์การขับขี่ที่เงียบและประณีตอย่างแท้จริง โดยมีการสั่นสะเทือนเข้ามาในห้องโดยสารน้อยลง เพื่อการขับขี่ที่นุ่มนวลยิ่งขึ้น
BEV ถูกชาร์จอย่างไร?
แบตเตอรี่ BEV สามารถชาร์จใหม่ได้ด้วยพอร์ตชาร์จที่บ้านหรือที่สถานีชาร์จสาธารณะ รถยนต์ไฟฟ้ายังใช้เทคโนโลยีการเบรกแบบปฏิรูปพลังงาน ซึ่งรถจะใช้พลังงานจลน์ที่เกิดขึ้นขณะเบรก เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ใหม่
ความเร็วในการชาร์จจะขึ้นอยู่กับกำลังไฟของเครื่องชาร์จที่คุณใช้ ซึ่งระบบชาร์จไฟตามบ้านส่วนใหญ่ใช้ระบบไฟ AC และโดยทั่วไปสามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้ในเวลาประมาณ 6-8 ชั่วโมง หมายความว่าคุณสามารถเสียบปลั๊กและทิ้งไว้ให้ชาร์จข้ามคืน โดยที่รถยนต์จะมีแบตเตอรี่เต็มในตอนเช้า
โดยทั่วไปแล้วการชาร์จด้วยไฟ DC จะมีให้บริการโดยเครื่องชาร์จสาธารณะ และให้อัตราการชาร์จที่เร็วกว่า โดยแตกต่างกันระหว่าง 50kW ถึง 200kW ขึ้นอยู่กับระบบไฟฟ้าและขนาดแบตเตอรี่ของรถคุณ โดยทั่วไปแล้วเครื่องชาร์จ DC สามารถชาร์จได้ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ซึ่งแบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้นช่วยให้รถวิ่งได้ระยะทางมากขึ้น แต่อาจใช้เวลาในการชาร์จนานขึ้นเช่นกัน
โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จส่วนใหญ่ที่ใช้กันทั่วโลกคือมาตรฐาน Type 2 หรือมาตรฐานระบบการชาร์จแบบผสมผสาน (CCS) ซึ่งหมายความว่าคุณไม่น่าจะประสบปัญหาหัวชาร์จไม่ตรงกับรถไม่ว่าคุณจะขับขี่ BEV รุ่นใด แม้ว่าบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่นจะใช้มาตรฐาน CHAdeMO ซึ่งใช้หัวต่อที่แตกต่างออกไป ดังนั้นคุณควรตรวจสอบว่ารถของคุณต้องใช้อะแดปเตอร์หรือไม่หากทราบว่ามีข้อกำหนดในการชาร์จแตกต่างกัน
ฉันจะเลือก BEV ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ได้อย่างไร?
มีหลายปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงเมื่อพิจารณา BEV ที่เหมาะสม
BEV ในอุดมคติของแต่ละคนนั้นควรพิจารณาจากนิสัยการขับขี่ ลักษณะการขับขี่ และความสะดวกในการเข้าถึงสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะตามเส้นทางประจำวันของคุณ
รถ BEV ระยะสั้นที่สามารถวิ่งได้ 300 กม.หรือน้อยกว่านั้น ด้วยการชาร์จหนึ่งครั้ง เหมาะมากหากคุณเดินทางระยะสั้นหลายๆ ครั้งเป็นประจำ หรือ ขับรถในประเทศที่มีอากาศหนาวเย็น ขับบนถนนในเมืองและมอเตอร์เวย์ ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้ความเร็วเป็นหลัก
ส่วนรถ BEV ระยะยาวที่วิ่งได้ครั้งละมากกว่า 300 กม.ด้วยการชาร์จหนึ่งครั้ง เหมาะสำหรับการขับขี่ระยะทางไกล หรือ ในสภาพอากาศที่ร้อน ถนนในชนบท และต้องใช้ความเร็วที่มากขึ้น
หากคุณสามารถชาร์จ BEV ที่บ้านหรือที่ทำงานได้เป็นประจำ คุณอาจไม่ต้องการ BEV ที่มีระยะวิ่งทางไกลมากหรือมีความสามารถในการชาร์จเร็วเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม หากคุณสามารถชาร์จ EV ของคุณที่สถานีชาร์จสาธารณะเท่านั้น คุณอาจต้องการพิจารณา EV ที่สามารถรับการชาร์จจำนวนสูงได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
เมื่อคุณคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว คุณจะมีภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในการเลือก EV ที่เหมาะสมสำหรับสภาพแวดล้อมและไลฟ์สไตล์ของคุณ
