ประกันภัยรถยนต์มีไว้ทำไม? ทำไมมีประกันภัยแล้วถึงไม่ได้รับความคุ้มครอง? ทำไมมีประกันภัยแล้วถึงต้องจ่ายส่วนต่างเพิ่ม? เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ จะได้ไม่เสียผลประโยชน์ในการเคลมหรือผลประโยชน์จากการซื้อประกันภัย ลองทำความเข้าใจในแบบง่ายๆ ว่าประกันภัยแต่ละประเภทนั้นมีไว้เพื่ออะไร และมีความคุ้มครองเรื่องอะไรบ้าง
ซื้อประกันภัยเพื่ออะไร?
- เพื่อคุ้มครองรถยนต์คันที่ซื้อประกันภัย จากอุบัติเหตุ รถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือ จากอุทกภัย
- เพื่อคุ้มครองบุคคลภายในรถ ทั้งเรื่องรักษาพยาบาล สินไหมทดแทนกรณีสูญเสียอวัยะหรือเสียชีวิต การประกันตัวผู้ขับขี่
- เพื่อคุ้มครองบุคคลภายนอก ทั้งเรื่องรักษาพยาบาล สินไหมทดแทนกรณีสูญเสียอวัยะหรือเสียชีวิต และ ความเสียหายต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก
นี่คือจุดประสงค์ของการซื้อประกันภัยรถยนต์ เพื่อให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นแทนเรานั่นเอง ต่อไปเราจะมาดูว่าประกันภัยมีกี่ประเภท และมีความคุ้มครองหรือเงื่อนไขในแต่ละประเภทอย่างไรบ้าง จะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้
ประกันภัยมีกี่ประเภท?
ประกันภัย | ความคุ้มครองรถที่ทำประกันภัย | ความคุ้มครองบุคคลในรถ | ความคุ้มครองบุคคลภายนอก/ทรัพย์สิน | |||||
อุบัติเหตุ มีคู่กรณี | อุบัติเหตุ ไม่มีคู่กรณี | รถหาย | ไฟไหม้ | น้ำท่วม | ภัยธรรมชาติ | ค่ารักษา/เงินชดเชย/ประกันตัวผู้ขับขี่ | ค่ารักษา/เงินชดเชย/ทรัพย์สิน | |
ประเภท 1 | / | / | / | / | X | X | / | / |
ประเภท 2 | X | X | / | / | X | X | / | / |
ประเภท 2+ | / | X | / | / | X | X | / | / |
ประเภท 3 | X | X | X | X | X | X | / | / |
ประเภท 3 + | / | X | X | X | X | X | / | / |
ความเสียหายจาก“น้ำท่วม” และ“ภัยธรรมชาติ”
จากตารางดังกล่าวจะเห็นชัดเจนว่าประกันแต่ละประเภทนั้นมีความคุ้มครองอะไรบ้าง ถ้าดูความคุ้มครองของประกันภัยประเภท 1 แล้วเรามักจะคิดว่าประกันภัยนั้นครอบคลุมทุกอย่าง โดยปกติแล้วประกันภัยประเภท 1 ไม่ได้ครอบคลุมความเสียหายจากกรณี “น้ำท่วม” และ “ภัยธรรมชาติ” ความคุ้มครองสองส่วนนี้เป็นส่วนที่ผู้เอาประกันภัยต้อง “ซื้อเพิ่ม” สามารถเลือกซื้อเพิ่มอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างก็ได้ หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 รถที่มีประกันภัยประเภท 1 ไม่รับความคุ้มครองจำนวนมากเนื่องจากไม่ได้ซื้อในส่วนนี้เพิ่ม
หลังจากนั้นบริษัทประกันภัยจึงเริ่มนิยมขายประกันภัยประเภท 1 ที่มีความคุ้มครองเรื่องของ “น้ำท่วม” เข้าไปด้วยซึ่งบวกค่าเบี้ยในส่วนนี้เข้าไปเรียบร้อยแล้ว “ภัยธรรมชาติ” เป็นความคุ้มครองคนและเรื่องกับความคุ้มครองกรณี “น้ำท่วม” ถ้าคุณซื้อความคุ้มครองกรณี “น้ำท่วม” นั้นไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดๆ ก็ตามแต่รถคุณเสียหายด้วยเหตุนี้ก็จะได้รับความคุ้มครอง ความคุ้มครองในกรณี “ภัยธรรมชาติ” ถ้าคุณจอดรถไว้แล้วพายุเข้าโดนต้นไม้ล้มทับเกิดความเสียหาย ถ้าซื้อความคุ้มครองในส่วนนี้ไว้จึงจะได้รับความคุ้มครอง
ไม่ว่าจะซื้อประกันภัยประเภท 1 เอง หรือ เป็นประกันภัยที่แถมมากับรถป้ายแดงต้องเช็คให้ละเอียดว่ามีความคุ้มครองในส่วนนี้หรือไม่ ถ้าไม่มีเราสามารถขอซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมภายหลังได้
ทำไมเบี้ยประกันภัยแต่ละบริษัทจึงไม่เท่ากัน?
ประกันภัย | ความคุ้มครองรถที่ทำประกันภัย ทุนประกันภัย 800,000 บาท | ความคุ้มครองบุคคลในรถ | ความคุ้มครองบุคคลภายนอก/ทรัพย์สิน | |||||
อุบัติเหตุ มีคู่กรณ๊ | อุบัติเหตุ ไม่มีคู่กรณี | รถหาย | ไฟไหม้ | น้ำท่วม | ภัยธรรมชาติ | ค่ารักษา/เงินชดเชย/ประกันตัวผู้ขับขี่ | ค่ารักษา/เงินชดเชย/ทรัพย์สิน | |
บริษัท A เบี้ย 25,000 บาท | / | / | / | / | / | / | 200,000 บ./เสียชีวิต 300,000 บ. / 200,000 บ. | 100,000 บ./เสียชีวิต 300,000 บ. / 1,000,000 บ. |
บริษัท B เบี้ย 19,000 บาท | / | / | / | / | X | X | 100,000 บ./เสียชีวิต 150,000 บ. / 100,000 บ. | 50,000 บ./เสียชีวิต 150,000 บ. / 1,000,000 บ. |
เวลาซื้อประกันภัยประเภท 1 แต่ละบริษัทประกันนั้นมีเงื่อนไขแตกต่างกัน สิ่งที่ต้องสอบถามก่อนจะซื้อประกันภัยเช่นประกันภัยประเภท 1 จะได้รับความคุ้มครองอะไรบ้างและความคุ้มครองนั้นมีมูลค่าเท่าไหร่ ถ้าดูจากตารางจะเห็นว่า “เบี้ยประกันประเภท 1” ของแต่ละบริษัทราคาไม่เท่ากัน ทั้งๆ ที่ทุนประกันภัยก็เท่ากัน คำว่าทุนประกันภัยคือมูลค่าสูงสุดที่คุ้มครองรถคันนั้นๆ เช่นรถยนต์ราคา 1 ล้านบาท ทุนประกันภัยจะอยู่ที่ประมาณ 80% หรือ 800,000 บาท หมายความว่ากรณีที่รถเสียหายหรือสูญหายบริษัทประกันภัยสูงสุดไม่เกิน 800,000 บาท
แล้วทำไมเบี้ยประกันภัยถึงแตกต่างกัน ต้องดูรายละเอียดให้ดีดูให้ถี่ถ้วนในเรื่องความคุ้มครองอื่นๆ เช่น ความคุ้มครองในการรักษาพยาบาล การชดเชยต่อการสูญเสียอวัยวะหรือเสียชีวิต วงเงินประกันตัวผู้ขับขี่ ความคุ้มครองต่อชีวิตและทรัพย์สินบุคคลภายนอกรถ และ ความคุ้มครองในเรื่องของความคุ้มครองกรณี “น้ำท่วม” และ “ภัยธรรมชาติ” เป็นส่วนที่ต้องซื้อเพิ่ม
ความรับผิดชอบจากบริษัทประกันภัยในการจ่ายสินไหมหรือซ่อมรถให้เรานั้นเค้าตีตามตัวบทกฎหมาย และตัวหนังสือใน “กรรมธรรม์” ดังนั้นต้องอ่านให้ดี เพราะกรณี “น้ำท่วม” มันเกิดได้จากหลายสาเหตุ ถ้ารถโดนน้ำท่วมยังไงบริษัทประกันก็ต้องรับผิดชอบเต็มที่ กรณีพายุเข้าฝนตกหนักพัดต้นไม้ล้มทับรถได้รับความเสียหายหนำซ้ำน้ำยังท่วมรถอีก ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจจะถึงกับการ “คืนทุนประกัน” แต่ในการคืนทุนประกันกรณีนี้ ต้องแยกเป็นสองประเด็น คือ ถ้ารถคันนี้ได้รับความคุ้มครองกรณี “น้ำท่วม” อย่างเดียว หมายความว่า “เหตุต้นไม้ล้มทับ” อันเกิดจาก “ภัยธรรมชาติ” คุณจะไม่ได้รับความคุ้มครองในส่วนนี้
หมายความว่าถ้ารถคุณมีทุนประกันภัย 800,000 บาท มีความคุ้มครองจากเหตุ “น้ำท่วม” แต่ไม่มีความคุ้มครองในส่วนของเหตุ “ภัยธรรมชาติ” ถ้าประกันตีราคาว่ารถคันนี้ถ้าเกิดเหตุน้ำท่วมอย่างเดียว ซ่อมแล้วราคาน่าจะอยู่ประมาณ 400,000 บาท คุณก็จะได้รับชดเชยเท่าที่ประกันภัยตีมูลค่าให้ ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นจากต้นไม้ล้มทับจากเหตุ “ภัยธรรมชาติ” เป็นส่วนที่คุณต้องควักกระเป๋าจ่ายเอง ศึกษาเงื่อนไข และ ความคุ้มครองให้ดี อย่าฟังจากปากคนขายกรรมธรรม์หรือเซลล์ขายรถว่าคุ้มครองทุกอย่าง ต้องอ่านเอกสารกรรมธรรม์หรือใบเสนอราคาให้ถี่ถ้วนก่อนทำประกันภัย ถ้าประกันภัยที่แถมมาไม่ครอบคลุมเราสามารถซื้อเพิ่มเติมได้