รถ EV, PHEV ใช้อย่างไรให้แบตเตอรี่อายุยืนนาน

ความรู้ความเข้าใจของเจ้าของรถมีผลโดยตรงต่ออายการใช้งาน

ความกังวลใจของผู้ที่จะซื้อหรือซื้อรถ EV รวมถึง PHEV มาแล้วคือเรื่องของอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ เป็นเรื่องอันดับต้นๆ ที่มีความกังวลถึงเรื่องอายุการใช้งาน แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องใหม่สำหรับบ้านเรา แต่ถ้ามองในตลาดโลกนั้นรถยนต์ EV จำนวนไม่น้อยที่ผ่านการใช้งานมาในระดับ 1 ล้านกิโลเมตร และเป็นรถที่ทำตลาดมานานเป็นสิบปีแล้วยังสามารถใช้งานได้ในทุกวันนี้ ลองมาดูว่าการใช้งานรถ BEV และรถ PHEV ( รถปลั๊กอินไฮบริด ) อย่างไรให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานหมดความกังวลใจ

ชาร์จไฟ AC หรือไฟ DC แตกต่างกันอย่างไร?

สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจในเรื่องของการชาร์จคือ การชาร์จไฟ AC เป็นการชาร์จไฟกระแสสลับหรือไฟบ้าน ที่มีกำลังไฟตั้งแต่ 3 – 11 กิโลวัตต์ เป็นการชาร์จด้วยแรงดันที่ต่ำซึ่งจะใช้เวลาค่อนข้างนาน โดยเฉลี่ยจาก 0 – 100 % ใช้เวลาในการชาร์จราว 6-9 ชั่วโมงตามขนาดความจุของแบตเตอรี่ การชาร์จไฟบ้านหลัง 22.00 น. หรือช่วง Off Peak เป็นช่วงเวลาที่ค่าไฟฟ้าถูกสุด ยิ่งอยู่ในพื้นที่ให้บริการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคยิ่งได้เปรียบ เพราะสามารถขอมิเตอร์ TOU แยกสำหรับชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าต่างหากได้ การชาร์จด้วยไฟ AC ข้อดีคือกระแสไฟฟ้าไหลเข้าอย่างสม่ำเสมอทำให้อุณภูมิแบตเตอรี่ไม่ร้อนจนเกินไป ทำให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า

การชาร์จด้วยไฟ DC หรือไฟกระแสตรงเป็นการชาร์จแบบแรงดันสูง ตั้งแต่ 25 – 360 kW ซึ่งรถส่วนใหญ่จะรองรับการชาร์จโดยเฉลี่ยตั้งแต่ 60 – 120 kW รถ ระดับพรีเมี่ยมหรือซูเปอร์คาร์จะรองรับตั้งแต่ 150 – 300 kW ซึ่งมีน้อย ข้อดีในการชาร์จแบบ DC คือชาร์จได้เร็ว จากความจุระดับ 20 – 80 % อาจจะใช้เวลาเพียง 20 – 45 นาทีขึ้นอยู่กับการรองรับแรงดันสูงสุดของตัวรถ ทำให้การชาร์จระหว่างการเดินทางทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น แต่การชาร์จแบบนี้จะทำให้แบตเตอรี่มีความร้อนสูงส่งผลโดยตรงต่อเรื่องอายุการใช้งานแบตเตอรี่ในระยะยาว

ชาร์จไฟแบบไหนดีที่สุด?

การชาร์จไฟ AC เหมาะกับรถไฟฟ้าหรือรถที่มีแบตเตอรี่ทุกชนิด เพราะการประจุไฟด้วยกระแสต่ำเฉลี่ยอยู่ที่ 6 – 11 kW นั้น กระแสจะไหลเข้าอย่างสม่ำเสมออุณภูมิแบตเตอรี่ค่อนข้างคงที่ เป็นการชาร์จแบบกระตุ้นเซลล์ช้าๆ สม่ำเสมอทำให้แบตเตอรี่ไม่ร้อนมากนัก ส่งผลในเรื่องของอายุการใช้งานในระยะยาว และการชาร์จไฟ AC หลัง 22.00 น. นอกจากค่าไฟจะถูกแล้วอุณภูมิภายนอกตัวรถจำต่ำกว่าเวลากลางวัน ทำให้ช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพ เมื่อทราบระยะทางการวิ่งจริงของตัวรถและระยะทางการใช้งานในแต่ละวันของตัวเองแล้ว สามารถบริหารจัดการเรื่องชาร์จได้ง่ายเพราะไม่จำเป็นต้องชาร์จทุกวันอาจจะชาร์จ 2-3 วันครั้งก็ได้

การชาร์จไฟ DC นั้นคือการประจุอัดด้วยแรงดันสูง ทำให้แบตเตอรี่เต็มเร็วแต่สิ่งที่ตามมาคือความร้อนสะสมที่แบตเตอรี่ ถ้าดูระดับแรงดันตั้งแต่เริ่มชาร์จยกตัวอย่างเช่นจากระดับความจุ 20 – 80 % ในรถที่รับกำลังไฟสูงสุด 80 kW ช่วงแรกจะเห็นว่ากำลังไฟในการชาร์จอาจจะสูงถึง 70 – 75 kW เลยทีเดียว เมื่อแบตเตอรี่เริ่มร้อนแรงดันไฟฟ้าจะค่อยๆ ลดลง อาจจะลงมาถึง 20 – 30 kW ช่วงหนึ่งแล้วจะค่อยๆ ปรับเพิ่มกำลังไฟสูงขึ้นอีกครั้งเมื่อแบตเตอรี่อุณหภูมิลดลง กำลังไฟฟ้าจะสวิงไปมาแบบนี้ตลอด ขึ้นอยู่กับระบบของตัวรถด้วยว่ามีระบบระบายความร้อนของชุดแบตเตอรี่หรือไม่ถ้ามีการชาร์จก็จะรวดเร็วขึ้น แต่สิ่งที่พบเจอมาเกือบทุกรุ่นคือเมื่อระดับแรงดันแบตเตอรี่ถึง 80% แล้วแรงดันไฟฟ้าจะลดลงมาก จากช่วง 80 – 100 % นี้อาจจะใช้เวลานานถึง 30 – 40 นาทีเลยทีเดียว 

สรุปให้เข้าใจง่ายๆ คือการชาร์จไฟ AC เป็นสิ่งที่เหมาะกับตัวรถมากที่สุด เพราะช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้ การชาร์จไฟ DC นั้นควรชาร์จราว 80 % ก็เพียงพอ เพราะเกินจากนี้จะใช้เวลานานโดยไม่จำเป็นการชาร์จไฟ DC แค่เป็นการเติมประจุไฟฟ้าเพื่อให้พอสำหรับการเดินทาง แล้วค่อยไปชาร์จไฟ AC ปลายทาง ทำให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า เจ้าของรถหลายคนที่อยู่คอนโด อาพาร์ทเม้น หรือ อยู่ในที่ไม่สามารถติดตั้งโฮมชาร์จได้ ก่อนเข้าที่พักก็ชาร์จ DC แค่ 80 % ก็เพียงพอสำหรับการใช้งาน และควรจะต้องหาโอกาสชาร์จ AC อย่างน้อยเดือนละ 2-4 ครั้ง เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเซลล์แบตเตอรี่ อาจจะใช้จังหวะวันหยุดไปเดินห้างดูหนังชาร์จยาวๆ สัก 3 – 5 ชั่วโมงก็จะช่วยให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น 

ชาร์จตอนไหนดี?

ควรหลีกเลี่ยงการชาร์จอากาศร้อนจัดเพราะทำให้ทุกระบบทำงานหนัก ควรชาร์จตอนที่อุณหภูมิภายนอกต่ำจะช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ให้มากขึ้น นั่นก็คือชาร์จกลางคืนหลัง 22.00 น. เป็นช่วงที่ค่าไฟถูกและอุณหภูมิภายนอกต่ำจะทำให้การชาร์จเร็วมากขึ้น และควรชาร์จด้วยไฟ AC จะเห็นผลมากกว่า การชาร์จในช่วงกลางวันที่อาการร้อนระหว่างเดินทางควรชาร์จด้วยไฟ DC และชาร์จแค่ 80% แล้วไปต่อ แบบนี้ระบบระบายความร้อนของแบตเตอรี่ในรถที่มีจะทำให้การชาร์จใช้เวลาน้อย ส่วนรถที่ไม่มีระบบระบายความร้อนแบตเตอรี่ก็ยังสามารถบริการการชาร์จได้ดี ถ้าเกินกว่านั้นการชาร์จจนเต็ม 100 % จะใช้เวลามากเกินความจำเป็น

การใช้รถไฟฟ้าไม่ว่าจะเป็นรถ EV หรือ PHEV ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ทำความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกนิดก็จะสามารถใช้งานและยืดอายุการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพ สิ่งที่ต้องศึกษาคือรถคันที่คุณใช้มีระบบหรือเทคโนโลยีอะไรบ้าง เช่น รับกำลังไฟชาร์จสูงสุดของระบบไฟแต่ละแบบอยู่ที่เท่าไหร่ ตัวรถมีระบบระบายความร้อนแบตเตอรี่หรือไม่ เพราะมันส่งผลโดยตรงต่ออายารใช้งานในแต่ละวันรวมถึงการใช้งานระยะยาวด้วย ถ้าจะซื้อรถไฟฟ้าสิ่งที่ต้องคำนึงคือ 1. รองรับการชาร์จไฟ DC สูงสุดเท่าไหร่? มีระบบระบายความร้อนแบตเตอรี่หรือไม่ เพราะเป็นเรื่องที่จะทำให้การชาร์จระหว่างการเดินทางใช้เวลาน้อย และช่วยให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน